นาย ณัฐพล สุมามั่น รหัส 554552112 ชั้นปี 2
คณะวิทยาการจัดการ สาขานิเทศศาตร์
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556
การออกกำลังกายและบริหารร่างก ายสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์
ช่วงปิดเทอมนี้การจะห้ามไม่ให้เด็กเล่นเกม ใช้คอมพิวเตอร์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ตคงเป็นเรื่องยาก ถือเป็นช่วงวันหยุดยาวที่พวกเขาจะได้พักผ่อน หลังจากการเรียนและสอบที่เคร่งเครียด เด็กหาวิธีผ่อนคลายในยุคดิจิตอลด้วยการเล่นเกมแต่เด็ก ๆ หารู้ไม่ว่าการนั่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้มีอาการปวดนิ้ว นิ้วแข็ง มือเกร็ง และอาจมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ ปวดแขน ตามมาได้
ดร.เจย์ สัน ลี ไคโรแพรคเตอร์ ชาวเกาหลี ประจำคลีนิคกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก บอกว่า การห้ามเด็ก ๆ ไม่ให้เล่นเกมหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ในยุคดิจิตอลนี้คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่เกม และอะไร ๆ เดี๋ยวนี้ก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทั้งนั้น เพราะเหตุนี้จึงทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยมีปัญหาและอาการปวดนิ้ว นิ้วแข็ง มือเกร็ง ทำให้เขียนหนังสือไม่ได้ หรือเมื่อพอเริ่มเขียนได้สักพักก็รู้สึกเครียด อารมณ์เสีย มีอาการโมโห หรือหงุดหงิด นอกจากเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการเล่นเกมและใช้คอมพิวเตอร์แล้ว ผู้ใหญ่จำนวนมากก็ต้องประสบกับอาการปวดและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ อันเนื่องมาจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานด้านบัญชี คีย์ข้อมูล หรือต้องพิมพ์รายงานต่าง ๆ เป็นต้น
ดร.เจย์ สัน ลี กล่าวต่อว่า การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ส่วนมากจะนั่งผิดลักษณะท่าทาง ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ นอกจากนั้นยังมีการใช้เก้าอี้ไม่ตรงกับสรีระ จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา ควรจะมีการพักสายตา ยืดกล้ามเนื้อ หรือบริหารร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อป้องกันอาการปวด จากผลกระทบของการเล่นเกมและใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ 4 ท่า ดังนี้
1. ท่าบริหารและผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง ท่านี้ควรให้เด็ก ๆ ยืนหรือนั่งให้หลังตรง แล้วเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านบน ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วหงายมือออก
2. ท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ให้เหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าโดยให้มือประสานกัน
3. ท่าบริหารกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณนิ้วมือ โดยยืดแขนออกไปข้างหน้า โดยให้มือชี้ลง พร้อมทั้งดัดนิ้วมือไปทางด้านหลัง โดยให้ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา อย่างน้อย 20 วินาที
4. ท่าบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ โดยการยืนตัวตรง เอามือซ้ายจับบนศีรษะด้านขวา พร้อมโน้มคอไปทางด้านเดียวกับที่มือจับศีรษะอยู่ ทำสลับไปมา ซ้ายขวา
ที่มา http://women.thaiza.com/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C/166081/
ช่วงปิดเทอมนี้การจะห้ามไม่ให้เด็กเล่นเกม ใช้คอมพิวเตอร์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ตคงเป็นเรื่องยาก ถือเป็นช่วงวันหยุดยาวที่พวกเขาจะได้พักผ่อน หลังจากการเรียนและสอบที่เคร่งเครียด เด็กหาวิธีผ่อนคลายในยุคดิจิตอลด้วยการเล่นเกมแต่เด็ก ๆ หารู้ไม่ว่าการนั่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้มีอาการปวดนิ้ว นิ้วแข็ง มือเกร็ง และอาจมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ ปวดแขน ตามมาได้
ดร.เจย์ สัน ลี ไคโรแพรคเตอร์ ชาวเกาหลี ประจำคลีนิคกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก บอกว่า การห้ามเด็ก ๆ ไม่ให้เล่นเกมหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ในยุคดิจิตอลนี้คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่เกม และอะไร ๆ เดี๋ยวนี้ก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทั้งนั้น เพราะเหตุนี้จึงทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยมีปัญหาและอาการปวดนิ้ว นิ้วแข็ง มือเกร็ง ทำให้เขียนหนังสือไม่ได้ หรือเมื่อพอเริ่มเขียนได้สักพักก็รู้สึกเครียด อารมณ์เสีย มีอาการโมโห หรือหงุดหงิด นอกจากเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการเล่นเกมและใช้คอมพิวเตอร์แล้ว ผู้ใหญ่จำนวนมากก็ต้องประสบกับอาการปวดและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ อันเนื่องมาจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานด้านบัญชี คีย์ข้อมูล หรือต้องพิมพ์รายงานต่าง ๆ เป็นต้น
ดร.เจย์ สัน ลี กล่าวต่อว่า การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ส่วนมากจะนั่งผิดลักษณะท่าทาง ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ นอกจากนั้นยังมีการใช้เก้าอี้ไม่ตรงกับสรีระ จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา ควรจะมีการพักสายตา ยืดกล้ามเนื้อ หรือบริหารร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อป้องกันอาการปวด จากผลกระทบของการเล่นเกมและใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ 4 ท่า ดังนี้
1. ท่าบริหารและผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง ท่านี้ควรให้เด็ก ๆ ยืนหรือนั่งให้หลังตรง แล้วเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านบน ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วหงายมือออก
2. ท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ให้เหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าโดยให้มือประสานกัน
3. ท่าบริหารกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณนิ้วมือ โดยยืดแขนออกไปข้างหน้า โดยให้มือชี้ลง พร้อมทั้งดัดนิ้วมือไปทางด้านหลัง โดยให้ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา อย่างน้อย 20 วินาที
4. ท่าบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ โดยการยืนตัวตรง เอามือซ้ายจับบนศีรษะด้านขวา พร้อมโน้มคอไปทางด้านเดียวกับที่มือจับศีรษะอยู่ ทำสลับไปมา ซ้ายขวา
ที่มา http://women.thaiza.com/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C/166081/
อาหารที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์
อาหารดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพฉันใด อาหารบำรุงสายตาก็มีความจำเป็นต่อสุขภาพสายตาที่ดีฉันนั้น การมองเห็นเป็นสิ่งที่วิเศษสุดของคนเรา สุขภาพสายตาควรได้รับการดูแลอย่างดี
ด้วยการใช้ดวงตาอย่างทะนุถนอมและรู้จักดูแลบำรุงรักษาสายตาด้วยการเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารและวิตามินบำรุงสายตา
อาหารบำรุงสายตา จะมีวิตามินเอ สารอาหารที่ชื่อว่า ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารอาหารสำคัญในอาหารบำรุงสายตา วิตามินเอจะได้จากอาหารจำพวก ตับไก่ ตับหมู ไข่แดง ฟักทอง ฯลฯ สำหรับสารอาหารลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน(Zeaxanthin) นั้นเหมาะสำหรับคนที่ห่วงใยสุขภาพสายตาอย่างจริงจังและคนที่ทำงานโดยใช้สายตามากเช่น คนที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆในแต่ละวันหรือต้องทำงานอยู่กลางแจ้งที่มีแสงแดดจ้า คนที่ต้องขับรถกลางคืนบ่อยๆที่มักจะถูกแสงไฟรถที่วิ่งสวนมาสาดเข้าตาบ่อยๆในลักษณะเดียวกับแสงไฟแฟลชจากกล้องถ่ายรูปทำให้สายตาต้องทำงานหนักเมื่อเจอแสงสว่างในลักษณะนี้
สารอาหารลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)นั้นจะอยู่ในจุดรับภาพของดวงตาคนเรา สารอาหารทั้งสองตัวนี้จะช่วยกรองแสงหรือป้องกันรังสีที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา นอกจากนี้ลูทีน(Lutein) และ ซีแซนทีน(Zeaxanthin)ยังช่วยปกป้องไม่ให้เซลล์ของจอประสาทตาถูกทำลาย ดังนั้นการบำรุงรักษาสายตาทำได้โดยรู้จักเลือกกินอาหารที่มีสารลูทีน(Lutein)และซีแซนทีน(Zeaxanthin)อยู่เพื่อประโยชน์ในการบำรุงสายตา
การดูแลสุขภาพดวงตา กับการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
ดวงตา เป็นอวัยวะที่บอบบาง ซับซ้อนละเอียดอ่อน และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว แต่ด้วยสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น แสงอุลตร้าไวโอเลตจากแสงแดดจ้าการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการสูบหรี่ ล้วนกระตุ้นให้สายตามีโอกาสเสื่อมเร็วกว่าปกติ และเป็นสาเหตุของปัญหาสายตาตามมา เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคต้อกระจก เป็นต้น การใส่ใจดูแลสุขภาพสายตาจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สายตาเสื่อมเร็วกว่าปกติ
- การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
- แสงอุลตร้าไวโอเลตจากแสงแดด
- ใช้สายตามากจากการเรียนและอ่านหนังสือ
- อายุที่เพิ่มขึ้น
- การสูบบุหรี่ หรืออยู่ในบริเวณที่สูบบุหรี่
- ได้รับวิตามินสารอาหารบางชนิดไม่เพียงพอ
สารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา
จากรายงานการวิจัยมากมาย พบว่า การได้รับสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น การบริโภคผักผลไม้หลากสี มีส่วนช่วยบำรุงสายตา และป้องกันภาวะสายตาเสื่อมได้ โดยสารอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพของดวงตา และลดอนุมูลอิสระที่จะทำลายเลนส์ตาที่สำคัญมี 3 ชนิดได้แก่
- ลูทีน (Lutein) เป็นสารอาหารธรรมชาติกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพ และจอประสาทตา ทำหน้าที่ป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตาและช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาโดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา
ร่างกายจำเป็นต้องได้รับลูทีนจากอาหารโดยเฉพาะจากพืชผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม ผักกาด ปวยเล้ง เป็นต้น และพบว่าการรับประทานลูทีนวันละ 6 มิลลิกรัม ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 50 - บิลเบอร์รี่สกัด (Bilberry extract) เป็นสารอาหารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันเลนส์ตา และสร้างความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนซึ่งเป็นโครงสร้างของคอร์เนีย (Cornea) และเส้นเลือดฝอยในตาทำให้เส้นเลือดฝอยไม่เปราะแตกง่าย และป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาขุ่นมัว อันเป็นสาเหตุของโรคต้อกระจก นอกจากนั้นยังช่วยการมองเห็นในที่มืด หรือที่ที่มีแสงสลัว ๆ ให้ชัดเจนขึ้นอีกด้วย
- เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารอาหารธรรมชาติที่พบมากในแครอท ฟักทอง ร่างกายจะเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอซึ่งจะช่วยการมองเห็นในที่มืดป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงดวงตา และป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก รวมถึงช่วยให้ผิวเยื่อเมือกในตาชุ่มชื่นขึ้นอีกด้วย
ประโยชน์จากการได้รับลูทีน บิลเบอรี่สกัด และเบต้าแคโรทีนร่วมกัน
- ชะลอการเสื่อมของสายตา
- ลดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตา
- เพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอยในตา
- ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
- ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม
- ป้องกันตาขุ่นมัว และต้อกระจก
- ป้องกันเบาหวานขึ้นตา
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา
ผู้ที่ควรดูแลสุขภาพตาเป็นพิเศษ
- ผู้ที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
- ผู้ที่ใช้สายตามากจากการอ่านหนังสือ หรือขับรถ
- ผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาสายตา
- ผู้ที่สูบบุหรี่ผู้ป่วยเบาหวาน
- ผู้ที่ต้องการป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจก
- ผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพดวงตา
วิธีการดูแลสุขภาพสายตา
- นั่งห่างจากจอคอมพิวเตอร์ในระยะเหมาะสม ประมาณ 1 ฟุต 10 ซม.
- อ่านหรือเขียนหนังสือโดยมีแสงสว่างอย่างเพียงพอ
- พักสายตาบ้าง ไม่ควรใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ
- หลีกเลี่ยงการมองของที่มีสีขาวหรือวัตถุสะท้อนแสงมาก ๆ กลางแดด
- ควรสวมแว่นกันแดด หรือสวมหมวกทุกครั้งเมื่อออกแดดจ้า
- ตรวจวัดสายตาหรือพบจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตา เช่น ผักผลไม้หลากสี
วิธีการพักผ่อนสายตา
การใช้สายตาต่อเนื่อง เช่น การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อาจทำให้สายตาเมื่อยล้าได้ ควรพักสายตา และบริหารดวงตาบ้างโดย
- การกระพริบตา : การกระพริบตา ช่วยให้น้ำตาหล่อเลี้ยงได้ทั่วตา ช่วยลดการระคายเคืองตาได้
- การใช้ฝ่ามือกดตาเบาๆ: ให้วางฝ่ามือบนเปลือกตาที่ปิดสนิท กดเบาๆ ประมาณ 1 นาทีแล้วปล่อย ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง จะรู้สึกสบายขึ้น
- การมองไกล: ให้มองไกลไปจากจอ คอมพิวเตอร์อย่างน้อย 6 เมตร โดยมองไปยังต้นไม้ ใบหญ้าหรือวัตถุสีเขียว จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการปรับโฟกัสของเลนส์ตา
- การกลอกตาเป็นวงกลม: ให้มองไปรอบๆ กว้างๆ ตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ และทวนเข็มนาฬิกาอีก 3 รอบ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการกรอกตาไปมา
ภัยเทคโนโลยีต่อสุขภาพ
ผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง
ดวงตา กล้ามเนื้อและระบบประสาท ทำให้เกิดอาการเมื่อยตา สายตาเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะ คลื่นไส้ เป็นต้น โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดของ โรคนี้คือ ปวดตา เมื่อยตา ตาแห้ง ถ้าอาการเป็นมากยังอาจก่อให้เกิดปัญหาสายตาเสื่อมลงด้วย เนื่องจากขณะใช้คอมพิวเตอร์ดวงตาต้องจ้องมองหน้าจอที่มีตัวหนังสือหรือภาพกระพริบตลอดเวลา ทำให้กลไกตามธรรมชาติของการกระพริบตาลดน้อยลงจนเราไม่สังเกต เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตาแห้ง และหากดวงตาอยู่ในสภาพที่เหน็ดเหนื่อยหรือตาแห้ง ก็จะทำให้สายตาเสื่อมลง
ทาง American Optometric Association (AOA) มีการให้คำจำกัดความของโรคหรือภัยที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผลที่เกิดกับดวงตาและการมองเห็นว่า คือโรค Computer Vision Syndrome หรือ CVS โดยมีอาการคือ ปวดเบ้าตา, ปวดต้นคอ, มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตา, มีภาวะตาแห้ง, รอยตาคล้ำบริเวณตา หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา สาเหตุหลักนอกจากการใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ แล้ว ยังสามารถเกิดได้จากการได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเลตทั้งจากรังสี UV ที่ออกมาจากจอคอมพิวเตอร์ หรือจากแสงแดดก็ได้
ระบบประสาท จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของคอมพิวเตอร์ แม้ว่ารังสีชนิดต่างๆจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จะมีความปลอดภัยก็ตาม แต่การรับการแผ่รังสีเป็นเวลานานก็อาจจะส่งผลกระทบถึงระบบประสาทของมนุษย์ได้เช่นกัน จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อึดอัด และนอนไม่หลับ เป็นต้น
เสี่ยงต่อการเป็นหมัน ในวารสาร “Human Reproduction” มีรายงานที่เขียนโดย ดร.เยซิม เซย์คิน หัวหน้าทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยประจำนครนิวยอร์ก รายงานไว้ว่า คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือโน๊ตบุ๊ค ที่หลายคนชอบวางทำงานไว้บนหน้าตักนั้น จะทำให้อุณหภูมิที่ลูกอัณฑะสูงขึ้นซึ่งมีผลต่อการสร้างสเปิร์มของผู้ชายทุกคนและทุกวัย ปกติแล้วลูกอัณฑะที่ใช้ผลิตเสปิร์มของผู้ชายนั้นเป็นอวัยวะที่ไวต่ออุณภูมิเป็นอย่างมาก โดยอุณภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียสก็จะลดจำนวนเสปิร์มที่แข็งแรงลงไปถึงร้อยละ 40 การวางโน๊ตบุ๊คบนตักหนึ่งชั่วโมงทำให้อุณภูมิลูกอัณฑะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.6 ถึง 2.8 องศาเซลเซียส
โรคที่เกิดจากท่านั่งหรือการทำงานซ้ำซาก
โรค Cumulative Trauma Disorders (ความผิดปกติจากอุบัติภัยสะสม) อาการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการปวดคอ ไหล่ ข้อมือ และหลัง ผู้ที่เป็นมาก ๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการชาที่มือ อาการของโรคพวกนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
o ระยะแรกเป็นแล้วหายเมื่อได้พัก
o ระยะสองคือ มีอาการต่อเนื่องถึงกลางคืน และหายเมื่อได้พัก
o ระยะสามคือ เป็นตลอดเวลาไม่หายเมื่อได้พัก
การรักษา คือ ต้องปรับพฤติกรรมการทำงานของตนเองหรือถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ และควรเล่าประวัติการทำงานเพื่อให้แพทย์ทราบสาเหตุที่แท้จริง แพทย์จึงจะรักษาเฉพาะที่ได้
อาการ Repetitive Strain Injury หรือ RSI ซึ่งสามารถเป็นได้กับทุกส่วนของร่างกายจากการนั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบไม่ถูกสุขลักษณะตั้งแต่แขน ข้อมือ ข้อนิ้ว แผ่นหลัง ต้นคอ หัวไหล่ และสายตา เนื่องจากอวัยวะส่วนที่มีปัญหาถูกวางค้าง ถูกทิ้งน้ำหนัก หรือกดทับนานๆ จนอักเสบ หากปล่อยไว้นานๆ อาจต้องผ่าตัดเอ็น
กลุ่มอาการปวดข้อ(Carpal Tunnel Syndrome: CTS) เป็นกลุ่มอาการของผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดอาการของโรคกระดูกข้อมือเจ็บปวด ข้อกระดูกนิ้วมือเสื่อม และชา สาเหตุ เกิดจากการกดแป้นพิมพ์ และการใช้เมาส์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน การจับเมาส์โดยมีข้อมือเป็นจุดหมุน อาจเกิดพังผืดบริเวณข้อมือ หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการชา จนไม่สามารถหยิบของได้
การรักษา หากเริ่มมีอาการอาจต้องรับประทานยาแก้ปวดและหยุดการเคลื่อนไหวโดยการพักข้อมือ อาการก็อาจทุเลาลงได้ อาการปวดจะหายไปในที่สุด หากปวดบวม ให้รับประทานยาระงับปวดและอาจต้องสวมอุปกรณ์ประคองมือ เพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อมือ หรือฉีดยากลุ่มสเตียรอยด์เข้าบริเวณข้อมือ เพื่อลดการอักเสบโดยตรง ส่วนในรายที่เป็นมานานอาจจำเป็นต้องผ่าตัดจึงจะได้ผลดี
โรคที่เกิดจากเชื้อโรคที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์
โรคภูมิแพ้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสตอก โฮล์ม ในสวีเดนพบว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ สารนี้มีชื่อว่า Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอวิดีโอและคอมพิวเตอร์ สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น คัน คัดจมูก และปวดศีรษะ ผลวิจัยพบว่า เมื่อจอคอมพิวเตอร์ร้อนขึ้นจะปล่อยสารเคมีดังกล่าวออกมา โดยเฉพาะหากสภาพภายในห้องทำงานที่มีเนื้อที่จำกัด เครื่องคอมพิวเตอร์อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้น อากาศที่ดีจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
Qwerty Tummy (โรคที่ตั้งชื่อตามตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ด) ซึ่งอาจระบาดในที่ทำงานได้ หากว่าแป้นคีย์บอร์ดมีแบคทีเรีย สาเหตุเกิดจากอาหารเป็นพิษ โดยผู้ใช้รับ-ประทานอาหารไปพร้อมกับใช้งานย์บอร์ด ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดคีย์บอร์ดเป็นประจำไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาดๆ อย่างน้อยเดือนละครั้งเสมอ
โรคที่เกิดจากการใช้งาน
โรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้กลายเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย เช่น ทนรอเครื่องดาวน์โหลดนาน ๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมาก ๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาทได้ จึงควรปรับเปลี่ยนลักษณะงานและพยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง
เมื่อทราบดังนี้แล้วสำหรับผู้ที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นแค่ไหนก็แล้วแต่ คงต้องสอดแทรกการบริหารร่างกายเข้าไปด้วย บิดซ้ายนิด ขวาหน่อย ยืดเส้นยืดสาย จะได้ยืดอายุสุขภาพดีของเราต่อไป
ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรจึงจะปล อดภัย
ผู้มีอาชีพที่จะต้องนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน มักจะเกิดปัญหากับสุขภาพหลายอย่าง ทั้งสายตา ปวดคอ ปวดหลัง
ปัญหาทางสายตาเป็นเรื่องใหญ่ ใครที่นั่งจ้องจอคอมฯ นานกว่า 3 ช.ม. ติดต่อกัน จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า สายตาจะพร่า อาจปวดกระบอกตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล
ผู้มีอาชีพที่จะต้องนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน มักจะเกิดปัญหากับสุขภาพหลายอย่าง ทั้งสายตา ปวดคอ ปวดหลัง
ปัญหาทางสายตาเป็นเรื่องใหญ่ ใครที่นั่งจ้องจอคอมฯ นานกว่า 3 ช.ม. ติดต่อกัน จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า สายตาจะพร่า อาจปวดกระบอกตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล
วิธีแก้ปัญหา
1. ควรตั้งจอคอมพิวเตอร์ให้ห่างอย่างน้อย 2 ฟุต ในระดับสายตาตรงหน้าพอดี
2. เลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำ รู้ได้โดยเวลาดับเครื่องไฟฟ้าสถิตจะมีน้อย ถ้ามีมากเอามือไปอังใกล้ ๆ หน้าจอ ขนจะลุก
3. ปรับแสงให้พอรู้สึกสบายตา อาจใช้แผ่นกรองแสงสวมหน้าจอจะช่วยได้ ไฟแสงสว่างด้านหลังอาจทำให้เกิดภาพสะท้อนที่จอทำให้สายตาเสียได้
4. ทำความสะอาดจอภาพของคอมพิวเตอร์เสมอ
5. ควรพักสายตาบ้าง ไม่ควรทำคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกิน 1-2 ช.ม. ควรพักสายตาสัก 15 นาที หรืออาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหมาด ๆ ปิดตาไว้ 2-3 นาที จะช่วยได้มาก
6. พวกใช้คอนแทคเลนส์ ควรหยอดน้ำตาเทียมบ่อย ๆ
ปัญหาปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ แก้ไขโดย
1. ตั้งจอตรงหน้าพอดีไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่เอียงซ้าย หรือขวา
2. คีย์บอร์ดและเม้าส์ควรอยู่ระดับเอวหรือระดับหน้าตักพอดี เพราะถ้าอยู่สูงกว่านี้เวลาใช้คีย์บอร์ดและเม้าส์นาน ๆ ไหล่จะค่อย ๆ ยกสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อให้แขนและมือจะได้ทำงานถนัด แต่การยกไหล่ขึ้นนาน ๆ กล้ามเนื้อที่ยกไหล่จะล้า ปวดเมื่อยได้ ปวดตั้งแต่ไหล่ บ่า ถึงคอ
3. ต้องพักการทำคอมพิวเตอร์ ทุก 1-2 ช.ม.
ปัญหาปวดหลัง แก้ไขโดย
1. ขณะนั่งทำคอมพิวเตอร์ควรนั่งเก้าอี้ที่สูงพอดี เท้าวางบนพื้นได้เต็มเท้า ถ้าสูงเกินไปจนเท้าลอย หรือถ้าต่ำเกินไป ก้นจะจ่อมอยู่บนที่นั่ง ทำให้เมื่อยบริเวณก้นได้
2. เวลานั่งต้องเลื่อนตัวให้นั่งชิดพนักพิง ไม่ใช่นั่งอยู่แค่ครึ่งที่นั่งของเก้าอี้
3. หลังจะต้องพิงพนักเก้าอี้อยู่ตลอดเวลา โดยพนักพิงทำมุมกับที่นั่ง ไม่เกิน 100 องศา
4. ต้องพักการทำคอมพิวเตอร์ ทุก 1-2 ช.ม.
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)